วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

16. จริยธรรมของนักปกครองและจรรยาบรรณ

                 
                                จริยธรรมของนักปกครองและจรรยาบรรณ



            จริยธรรม ( Ethical Rules) คือ ประมวลกฎเกณฑ์ความประพฤติ คำว่าจริยธรรมนั้น ในบางครั้งก็ใช้แทนคำว่า คุณธรรม หรือศีลธรรม
            จริยธรรม คือ หลักแห่งความประพฤติที่ชอบธรรมหรือเป็นหลักปฏิบัติที่ได้รับการยกย่องจากสังคมว่าเป็นสิ่งที่ถูกที่ควรเราสามารถศึกษาจริยธรรมของสังคมหนึ่งๆ ได้จากขนบประเพณีวัฒนธรรม หลักศีลธรรม เป็นต้น
            ส่วนการเมืองการปกครองนั้น เป็นเรื่องของการใช้อำนาจบังคับ ให้เป็นไปตามข้อบัญญัติของรัฐ การเมืองการปกครองเป็นเรื่องของการตัดสินใจตกลงใจ หรือกำหนดนโยบายเพื่อแก้ปัญหาสังคมหรือจัดสรรสิ่งที่มีคุณค่าต่างๆ ให้แก่สังคม เช่น อำนาจหน้าที่ตำแหน่ง เศรษฐกิจ ฐานะทางสังคม ตลอดจนการใช้ทรัพยากร
            จริยธรรมทางการเมืองการปกครอง โดยทั่วไปมีความหมายแบ่งออกเป็นสองนัยคือ
          1. จริยธรรมทางการเมืองการปกครอง หมายถึง หลักปฏิบัติ หรือคุณธรรมในการปกครองทั่วๆไปซึ่งเป็นคุณธรรมของฝ่ายปกครองที่ต้องยึดถือปฏิบัติ ให้แก่ฝ่ายรับการปกครองทำงานได้อย่างปกติสุข
          2. จริยธรรมทางการเมืองการปกครอง หมายถึง ปรัชญาในทางการเมืองการปกครอง ซึ่งนักปรัชญาทั้งหลายได้ให้แนวคิดหลักการและเหตุผลทางการเมืองการปกครองที่ควรจะเป็นจริยธรรมในการปกครอง ยังมีความหมายรวมถึง จริยธรรมในการควบคุมหรือปกครองตนเองและจริยธรรมในการปกครองผู้อื่นด้วย
            นักปราชญ์แต่ละยุคแต่ละสมัยได้พยายามคิดค้น จริยธรรมในการปกครองที่เหมาะสมกับสภาพของสังคมแต่ละสังคมเสมอเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาปรับปรุง สังคมให้ดีขึ้น
            Socrates ถือว่าผู้ที่จะเจริญทางจิตใจได้ จะต้องมีคุณธรรมประจำใจเพื่อใช้เป็นหลักในการดำรงชีวิต คุณธรรม เป็นสิ่งที่มีค่าเหนือสิ่งอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการคิด หรือทำสิ่งใด การมีคุณธรรมก็คือการเป็นผู้มีศีลธรรม และมีความรู้นั่นเอง
            Plato ถือว่า การมีคุณธรรมก็คือ การยึดมั่นในสิ่งที่ดีงาม ทำหน้าที่ของตนตามความเหมาะสม การปกครองที่ดีก็คือ การปกครองที่ก่อให้เกิดความยุติธรรมในสังคมสมาชิกในสังคมจะต้องแบ่งหน้าที่กันทำ เนื่องจากคนเรามีความสามารถเหมาะสำหรับงานเฉพาะอย่าง และควรทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ผู้ปกครองควรเป็นผู้มีปัญญา และมีเหตุผล ส่วนประชาชนผู้ผลิตควรตั้งหน้าตั้งตาประกอบอาชีพของตน ทุกฝ่ายจะต้องรู้จักควบคุมตนเองและยอมรับสภาพของตน
            Aristotle ถือว่า มนุษย์เราจะดำรงชีวิตได้ด้วยดี และจะสามารถพัฒนาจิตใจหรือปัญญาของตนได้เต็มที่ ก็ต่อเมื่อเข้ามาอยู่ในรัฐแล้วเท่านั้น การปกครองในรัฐที่ดีจะต้องก่อให้เกิดความยุติธรรม ที่จัดสรรไว้ตามส่วนต่างๆ ของสังคม ซึ่งอาจจะไม่เท่าเทียมเพราะคนเรามีความสามารถและมีส่วนที่ให้แก่สังคมต่างกัน
            ระบบการปกครองที่ดีสามารถก่อให้เกิดความยุติธรรมและทำการปกครองเพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยส่วนรวมได้ จึงมีเพียงระบบราชาธิปไตยซึ่งปกครองโดยกษัตริย์ผู้ทรงคุณธรรมประการหนึ่ง ระบบอภิชนาธิปไตยซึ่งปกครองโดยคนจำนวนน้อยที่ทรงคุณธรรมประการหนึ่งและระบบประชาธิปไตยที่ถือทางสายกลาง ซึ่งปกครองประชาชนที่ทรงคุณธรรมอีกประการหนึ่งส่วนการปกครองที่เลวนั้น คือการปกครองเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของผู้ปกครองเองได้แก่การปกครองแบบทรราชย์ แบบคณาธิปไตยและการปกครองโดยฝูงชน
            หลักในการปกครองที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง คือ จะต้องทำการปกครองเพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายรับการปกครองมากกว่าเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของฝ่ายปกครองคือ จะต้องปกครองเพื่อผลประโยชน์ของราษฎรส่วนใหญ่ในสังคมด้วยความชอบธรรมประชาราษฎร์จึงจะอยู่ดีมีสุข
                                              
 จรรยาบรรณของนักรัฐศาสตร์ มีจรรยาบรรณดังต่อไปนี้
          1. รับใช้ชาติและประชาชน
          2. พึงเป็นผู้รอบรู้ในวิทยาการอย่างลึกซึ้งและกว้างขวางโดยมิเพียงแต่รอบรู้ด้านทฤษฎี หากจะต้องรู้ซึ่งถึงบริษัทในสังคมที่ปฏิบัติงานเพื่ออาชีพนั้นด้วย ทั้งนี้เพื่อป้องกันความเสียหายอันจะเกิดขึ้นจากการใช้อำนาจรัฐโดยปราศจากความรู้และความเข้าใจในประชาสังคมอย่างแท้จริง
          3. พึงตั้งอยู่ในสุจริต 3 ประการคือ กาย วาจา ใจและมีฉันทะที่จะระงับความเดือดร้อนของมหาชน
          4. พึงมีศรัทธาและความเชื่อมั่นในเกียรติศักดิ์ศรีและความสามารถในการเข้าถึงเหตุผลของเพื่อนมนุษย์
          5. มีวิริยะอุตสาหะพยายามพากเพียรและภักดีต่อชาติและประชาชนทั้งนี้ ชาติ หมายความรวมถึงสถาบันหลักทุกสถาบันอันได้แก่ สถาบันศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย
          6. หมั่นศึกษาสัมผัสและสัมพันธ์กับประชาชนเพื่อเรียนรู้ภูมิปัญญาและประสบการณ์ของประชาชนและนำความรู้ประสบการณ์ดังกล่าวมาใช้ประกอบการตัดสินใจและการปฏิบัติงาน
          7. พึงยึดมั่นทั้งในหลักนิติธรรมและหลักประชาธิปไตย อีกทั้งยึดหลักการดำเนินงานว่าจะต้องถูกต้องทางศีลธรรมทั้งด้านเป้าหมายและวิธีการ
          8. พึงถือว่าการปฏิบัติงานหรือการใช้อำนาจรัฐนั้นเป็นไปเพื่อรับใช้ชาติและประชาชนมิใช่เพื่อรับใช้รัฐและองค์กรของรัฐ
          9. พึงถือว่าการปฏิบัติงานหรือการใช้อำนาจนั้นเป็นไปเพื่อรับใช้สาธารณะโดยมิได้ถือเป็นอาชีพที่จะก่อให้เกิดความมั่งคั่งเหมือนกับการประกอบวิชาชีพอื่น
          10. พึงมีทัศนะต่ออำนาจรัฐว่าจะต้องมีอยู่โดยมีพลังที่จำกัดและเหนี่ยวรั้งอำนาจสำคัญและจำเป็นโดยมุ่งส่งเสริมและสนับสนุนการเจริญเติบโตของพลังเหล่านั้นที่ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างสันติวิธีด้วยความบริสุทธิ์ใจ
          11. มีความยุติธรรม
          12. เคารพสิทธิและศักดิ์ศรีของประชาชน
          13.   มิควรใช้วิชาชีพเพื่อแสวงหาอำนาจ ลาภ ยศ สรรเสริญ
          14. มิควรใช้วิชาชีพเพื่อส่งเสริมสนับสนุนระบอบการเมืองแบบเผด็จการ
          15. มิควรใช้วิชาชีพเพื่อเพิ่มพูนอำนาจความแข็งแกร่งให้แก่องค์กรของตนโดยไม่คำนึงถึงประชาชนผู้รับบริการขององค์กรนั้น
          16. มิควรใช้วิชาชีพเพื่อทำลาย สลาย หรือลดการตื่นตัวและความกระตือรือร้นของประชาชนที่ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมืองการปกครองและการบริหาร
          17. มิควรใช้วิชาชีพเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวโดยมิชอบ
          18. มิควรใช้วิชาชีพเพื่อโดยนำเอาหลักการเพียงบางส่วนหรือนำเอา “ความสะดวกทางการเมืองการบริหาร”มาใช้โดยละเลยหลักนิติธรรมและหลักประชาธิปไตย
                                             
                                          
                          

15. การวิเคราะห์นโยบาย

                             
                                 การวิเคราะห์นโยบาย

การวิเคราะห์นโยบาย (Policy Analysis) เป็นกระบวนการวิเคราะห์เพื่อให้ได้ทางเลือกของนโยบายที่สามารถนำมาดำเนินการเพื่อตอบสนองความต้องการหรือแก้ไขปัญหาได้ เมื่อได้ทางเลือกของนโยบายมาจำนวนหนึ่งแล้ว จึงใช้เกณฑ์ในการตัดสินใจ เช่น ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล เพื่อตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด และเมื่อได้ทางเลือกที่ดีที่สุดมาจำนวนหนึ่ง จึงส่งทางเลือกนโยบายเหล่านั้นไปยังผู้มีอำนาจในการตัดสินใจสำหรับการแก้ไขปัญหานั้นๆ เช่น ปัญหาระดับประเทศต้องส่งให้ รมต.ที่รับผิดชอบ ปัญหาระดับจังหวัดต้องส่งให้ผู้ว่าฯ ปัญหาในเทศบาลอาจส่งให้นายกเทศมนตรี เพื่อนำไปพิจารณาต่อไป

                    
  




ในการจะวิเคราะห์นโยบายได้นั้น จำเป็นที่เราจะต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนเพื่อให้สามารถทราบปัญหาหรือความต้องการที่แท้จริงของประชาชน ข้อมูลเหล่านี้อาจมาจากงานวิจัยภายในประเทศ งานวิจัยของต่างประเทศ หรืออาจต้องมีการทำการวิจัยใหม่ก็ได้ แล้วจึงนำข้อมูลที่ได้มาสังเคราะห์ เพื่อใช้ในการทำนายผลที่จะตามมาจากการเลือกดำเนินการในแต่ละนโยบาย อย่างไรก็ดี เราไม่อาจมองเห็นอนาคตที่จะเกิดขึ้นได้ การทำนายจึงให้ความแม่นยำเพียงระดับหนึ่งเท่านั้น

เนื่องจากนโยบายสาธารณะ มักมีเรื่องกำหนดเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง อาทิ เงื่อนเวลาที่มาจากความต้องการสร้างผลงานของนักการเมือง หรือ เงื่อนเวลาที่เกิดจากความเร่งด่วนของสถานการณ์ เช่น เหตุการณ์สึนามิ และอุทกภัยต่างๆ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้การวิเคราะห์นโยบายจึงจำเป็นที่จะต้องทันการณ์ มีกำหนดเวลาในการดำเนินนโยบายที่ชัดเจน การวิเคราะห์นโยบายให้มีความสมบูรณ์จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก

นอกจากนี้ภายใต้ปัญหาเรื่องหนึ่ง ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่ละกลุ่มก็อาจมองปัญหาเหล่านั้นในมุมที่แตกต่างกัน หรือให้ลำดับความสำคัญที่แตกต่างกันได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับมุมมองที่แต่ละกลุ่มเลือกใช้มองปัญหา หรืออาจมาจากความแตกต่างของความเชื่อของคนในแต่ละกลุ่ม เช่น กรณีเบียร์ช้างจะเข้าตลาดหุ้น บางคนอาจมองว่าไม่สมควรเพราะเป็นธุรกิจน้ำเมา ในขณะที่บางคนบอกว่าสมควรเพราะถ้าไปจดทะเบียนที่ต่างประเทศจะเป็นการนำเงินออกนอกประเทศ เป็นต้น


                                 


ขั้นตอนในการวิเคราะห์นโยบาย ประกอบไปด้วย 8 ขั้นตอน ดังนี้
  1. มองเห็นปัญหา และนิยามว่าปัญหานั้นคืออะไร  ในขั้นตอนนี้ควรที่จะมองไปยังสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัว ดูว่ามีอะไรที่มีน้อยเกินไป (deficits) มีอะไรที่มีมากเกินไป (excesses) ซึ่งปัญหาที่เราระบุนั้นจะต้องสามารถประเมินค่าได้ และยิ่งถ้าประเมินเป็นเชิงปริมาณได้จะยิ่งดี
  2. การหาข้อมูล (evidence) ที่เกี่ยวข้องกับปัญหา ในขั้นตอนนี้เราจำเป็นที่จะต้องทำการศึกษาค้นคว้าเพื่อให้ทราบว่าข้อมูลใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับปัญหา และสามารถสะท้อนปัญหานั้นได้อย่างชัดเจน การจะเก็บรวบรวมข้อมูลเหล่านั้นจะต้องทำอย่างไร แหล่งข้อมูลอยู่ที่ไหน แล้วจึงรีบดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างรวดเร็วและครบถ้วนมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ 
  3. สร้างทางเลือกของนโยบาย ในขั้นตอนนี้เราจะเริ่มคิดถึงทางเลือกที่เป็นไปได้ทั้งหมดที่จะนำมาใช้แก้ไขปัญหาที่เราระบุขึ้นมา แล้วจึงทำการลดทางเลือกที่ดูแล้วไม่น่าสนใจออกไปส่วนหนึ่ง 
  4. การเลือกเกณฑ์ที่จะใช้ในการตัดสินใจที่เหมาะกับนโยบายประเภทนั้น ในขั้นตอนนี้เราจะต้องมองหาเกณฑ์ที่สามารถใช้ในการประเมินผลลัพธ์ที่เกิดจากการเลือกทางเลือกนั้น ซึ่งจะเลือกใช้เกณฑ์ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับการระบุปัญหาของเรา โดยทั่วไปมักเลือกใช้เกณฑ์ประสิทธิภาพ ความเท่าเทียม ความเสมอภาค ความยุติธรรม เสรีภาพ ชุมชน เป็นต้น ในกรณีที่ใช้เกณฑ์ในการตัดสินใจหลายเกณฑ์ อาจจะจำเป็นที่จะต้องให้น้ำหนักกับแต่ละเกณฑ์ด้วย เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในกรณีที่เกิดความขัดแย้งระหว่างเกณฑ์ที่เลือกใช้
  5. ดูว่าเมื่อพิจารณาตามเกณฑ์แต่ละทางเลือกแล้ว ผลจะออกมาอย่างไร ในขั้นตอนนี้เราจะต้องสร้างแบบจำลองที่ทำให้เราสามารถคาดการณ์ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น ประกอบกับการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์เข้ามาประกอบ จึงจะทำให้เราสามารถคาดการณ์ผลลัพธ์ของแต่ละทางเลือกได้
  6. เปรียบเทียบผลของแต่ละทางเลือก ในขั้นตอนนี้่ จำเป็นที่จะต้องมีการ Trade-offs คือ ชั่งน้ำหนักระหว่างผลได้กับผลเสียจากแต่ละทางเลือก เนื่องจากว่าไม่มีทางเลือกใดที่ดีที่สุด แต่ละทางเลือกมักจะมีทั้งข้อดีข้อเสีย การจะชั่งน้ำหนักได้จำเป็นที่จะต้องมีการคาดการณ์ผลลัพธ์ที่ดีก่อน 
  7. ตัดสินใจเลือกทางเลือก 
  8. ประกาศทางเลือกที่ตัดสินใจเลือกออกไปให้สาธารณชนรับรู้อย่างทั่วถึง ผ่านทางช่องทางที่เหมาะสม และด้วยข้อความที่ทำให้คนทั่วไปสามารถเข้าใจถูกต้องอย่างง่ายที่สุด 

14.แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

             
             แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ


              


สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. (Office of the National Economics and Social Development Board) หรือชื่อเดิมว่า สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ เป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดของสำนักนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่
  • จัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อใช้เป็นกรอบและแนวทางในการพัฒนาประเทศในแต่ละช่วงระยะเวลา 5 ปี และวิเคราะห์ ประเมินแผนงานและโครงการพัฒนาของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ
  • พิจารณางบลงทุนประจำปี ความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของโครงการต่างๆ ของรัฐวิสาหกิจเพื่อเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี และกระทรวงต้นสังกัดของรัฐวิสาหกิจ ตามระเบียบว่าด้วยงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2522
  • กำกับดูแล และติดตามผลการดำเนินงาน ของบริษัทเอกชนในโครงการที่มีการลงทุนหรือมีทรัพย์สินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินงานในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535
  • หน้าที่อื่นๆ ที่ได้รับมอบหมาย จากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีโดยเฉพาะ เช่น เป็นฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการพิเศษ อาทิ คณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก คณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ คณะกรรมการร่วมภาครัฐบาลและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ซึ่งคณะกรรมการเหล่านี้มีนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
  •  
  •              

ประวัติ

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2493 โดยใช้ชื่อว่า สภาเศรษฐกิจแห่งชาติ มีหน้าที่เสนอความเห็น คำแนะนำ ต่อรัฐบาลในเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจของประเทศ ต่อมาใน พ.ศ. 2502 มีการเพิ่มบทบาทหน้าที่ให้เป็นหน่วยงานกลางเพื่อทำหน้าที่วางแผนพัฒนาประเทศเป็นการเฉพาะ และเปลี่ยนชื่อเป็น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลก
ต่อมาในปี พ.ศ. 2515 มีการนำการวางแผนพัฒนาสังคม มาใช้ควบคู่กับการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และเปลี่ยนชื่อของหน่วยงานใหม่เป็นสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี จนถึงปัจจุบัน
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งอยู่ที่อาคารสุริยานุวัตร ถนนกรุงเกษม ริมคลองผดุงกรุงเกษม ซึ่งเดิมเป็นบ้านของ มหาอำมาตย์เอก พระยาสุริยานุวัตร(เกิด บุนนาค) ก่อสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2448 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สศช. ซื้ออาคารและที่ดินนี้ในปี พ.ศ. 2493 และทำการบูรณะปรับปรุงเมื่อ พ.ศ. 2534

คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (National Economics and Social Development Board - NESDB) เป็นคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นตาม พระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2521 มีหน้าที่เสนอแนะและให้ความเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่อคณะรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี พิจารณาแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประสานงานระหว่าง สศช.กับส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง ทั้งในด้านการจัดทำแผนงาน และในด้านการปฏิบัติงาน
คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มี 15 คน ประกอบด้วย

เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ[แก้]

รายนามเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
  1. นายสุนทร หงส์ลดารมภ์ - พ.ศ. 2493-2499
  2. นายฉลอง ปึงตระกูล - พ.ศ. 2499-2506
  3. นายประหยัด บุรณศิริ - พ.ศ. 2506-2513
  4. นายเรณู สุวรรณสิทธิ์ - พ.ศ. 2513-2516
  5. นายเสนาะ อูนากูล - พ.ศ. 2516-2518
  6. นายกฤช สมบัติสิริ - พ.ศ. 2518-2523
  7. นายเสนาะ อูนากูล - พ.ศ. 2523-2532
  8. นายพิสิฏฐ ภัคเกษม - พ.ศ. 2532-2537
  9. นายสุเมธ ตันติเวชกุล - พ.ศ. 2537-2539
  10. นายวิรัตน์ วัฒนศิริธรรม - พ.ศ. 2539-2542
  11. นายสรรเสริญ วงศ์ชะอุ่ม - พ.ศ. 2542-2545
  12. นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช - พ.ศ. 2545 - 2547
  13. นายอำพน กิตติอำพน - พ.ศ. 2547 - 2553
  14. นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ - พ.ศ. 2553 - ปัจจุบัน

อ้างอิง[แก้]

  1. Jump up ราชกิจานุเบกษา, พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 เล่ม 130 ตอนที่ 93ก วันที่ 11 ตุลาคม 2556

ดูเพิ่ม[แก้]

13.การดำเนินนโยบายต่างประเทศ



การดำเนินนโยบายต่างประเทศ

 

วัตถุประสงค์หรือจุดหมายปลายทางของนโยบายอยู่ที่ความมั่นคงของชาติ  แผนการดำเนินงาน  ได้แก่ ขั้นตอนในการรักษาความมั่นคง  และกระบวนการนั้นก็คือ  วิธีการต่างๆ  เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามแผน  ส่วนวิธีการอาจรวมไปถึงการต่อรอง  การตระเตรียมและการใช้เครื่องมือต่างๆ
แผนการดำเนินนโยบายต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2551 นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในส่วนของนโยบายการต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
                รัฐบาลจะดำเนินนโยบายต่างประเทศเพื่อตอบสนองผลประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชน โดยจะดำเนินบทบาทเชิงรุกในการส่งเสริมความร่วมมือและขยายความสัมพันธ์อันดีกับนานาประเทศทั้งด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และยึดมั่นในพันธกรณีที่มีอยู่กับต่างประเทศตามสนธิสัญญาและความตกลงต่าง ๆ ที่ประเทศไทยเป็นภาคี และเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งกฎบัตรสหประชาชาติและปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน พร้อมกับการสร้างภูมิคุ้มกันและพัฒนาเศรษฐกิจไทยทุกสาขาให้ได้รับประโยชน์จากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และสานต่อนโยบายทีมประเทศไทย (Team Thailand) เพื่อให้การดำเนินงานด้านต่างประเทศมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และมีเอกภาพ  
 โดยจะดำเนินการ ดังนี้
  -   ส่งเสริมและพัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน โดยส่งเสริมความร่วมมือทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชน และสื่อมวลชน เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจอันดีและความใกล้ชิดระหว่างกัน อันจะนำไปสู่การขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การส่งเสริมการท่องเที่ยว การขยายการคมนาคมขนส่ง และความร่วมมือด้านอื่น ๆ ภายใต้กรอบความร่วมมืออนุภูมิภาค เช่น ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) แผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) แผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) และความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (BIMSTEC) เป็นต้น
-   ส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศในเอเชีย กรอบความร่วมมือเอเชีย และเพิ่มบทบาทในการสร้างความแข็งแกร่งของอาเซียนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการจัดตั้งประชาคมอาเซียน และผลักดันบทบาทอาเซียนในเวทีระหว่างประเทศในวาระที่ไทยเป็นประธานอาเซียน
-  มีบทบาทที่สร้างสรรค์ในองค์กรระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเวทีสหประชาชาติและองค์กรระดับภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อรักษาสันติภาพ ความมั่นคง ส่งเสริมกระบวนการประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน มนุษยธรรม ตลอดจนร่วมมือในการแก้ไขประเด็นปัญหาข้ามชาติทุกด้านที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของมนุษย์
-  กระชับความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับประเทศและกลุ่มประเทศที่มีบทบาทสำคัญของโลก จัดทำข้อตกลงการค้าเสรีในกรอบพหุภาคีและกับประเทศต่าง ๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศโดยรวม สร้างกลไกเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถปรับตัวรับผลกระทบและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี
-   ดำเนินงานเชิงรุกทางการทูตเพื่อประชาชน วัฒนธรรม และการศึกษา ตลอดจนการแลกเปลี่ยนในระดับประชาชนกับนานาประเทศ พร้อมทั้งส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการกับประเทศกำลังพัฒนา และสานต่อความร่วมมืออย่างใกล้ชิดเพื่อความเข้าใจอันดีกับองค์กรทางศาสนาอื่น ๆ
-  คุ้มครองผลประโยชน์ของคนไทย ดูแลคนไทยและแรงงานไทยในต่างประเทศ โดยเฉพาะคนไทยที่ประกอบอาชีพและมีถิ่นฐานในต่างประเทศ ส่งเสริมบทบาทของชุมชนชาวไทยในการรักษาเอกลักษณ์และความเป็นไทย
กระบวนการกำหนดนโยบาย
1.  รวบรวมและประเมินข้อมูลต่างๆ  ผู้ที่ทำหน้าที่ในการหาข้อมูลเหล่านี้  ได้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในกระทรวง  ทบวง  กรม  ต่างๆ  ทั้งในและนอกประเทศ
2.  การหาข่าวสารต่างๆ  สำหรับเจ้าหน้าที่ในการหาข่าวสารต่างๆ  นั้น  คือหน่วยงานทางการทูตและกงสุล
3.  วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับเพื่อให้เกิดความถูกต้องและแน่นอน 
4.  การกรอง  ข้อมูลจากการวิเคราะห์นั้นอาจจะได้มาทั้งเปิดเผยและปกปิด
5.  การวางแผน  เมื่อทราบผลจากการวิเคราะห์และกรองแล้วก็เริ่มทำการวางแผน  เพื่อกำหนดนโยบายให้สอดคล้องกับข้อมูลที่ได้รับ
นโยบายต่างประเทศอาจจะพิจารณาจากปัจจัยที่สำคัญ  คือ
                -  พิจารณาจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ  การคลัง  ทหารและวัฒนธรรม  ซึ่งจะเป็นผลต่อการให้เกิดนโยบายในด้านเศรษฐกิจ  การคลัง  การทหารและวัฒนธรรม
-  พิจารณาจากปัจจัยทางด้านภูมิศาสตร์  โดยที่บางประเทศจะกำหนดนโยบายตามพื้นที่ที่ความสำคัญทางภูมิศาสตร์เป็นหลัก
หลักการในการกำหนดวัตถุประสงค์แห่งนโยบาย 
1.  การรักษาบูรณภาพแห่งรัฐ   หมายถึง  การที่จะต้องดำเนินการให้เป็นปึกแผ่นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาติ 
                ลักษณะของนโยบายที่จะสัมฤทธิ์ผล  ดังนี้
                -  มีแผ่นดินติดต่อเป็นผืนเดียวกัน
                -  มีเผ่าพันธุ์เดียวกัน
                -  นับถือศาสนาและยึดถือขนบประเพณีเดียวกัน
                -  มีอุดมการณ์ทางการเมืองเดียวกัน
2.  ส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ  เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องส่งเสริมในด้านเศรษฐกิจ
                การทำให้เกิดความรุ่งเรืองนั้นมีปัจจัยที่สำคัญ   ดังนี้  ทรัพยากรตามธรรมชาติ  รวมทั้งที่ตั้งของประเทศ ตลอดจนภูมิอากาศ  ขนาดพื้นที่  และจำนวนประชากร  ตลอดจนวิธีการดำเนินการของรัฐนั้นๆ 
วิถีทางของรัฐกับการกำหนดนโยบายและการดำเนินนโยบายระหว่างประเทศ
กระบวนการนโยบายของรัฐ
1.       การตั้งเป้าหมาย  หมายถึง  การกำหนดแยกแยะผลประโยชน์ของชาติ  วัตถุประสงค์ของนโยบาย นำมาจัดลำดับความสำคัญ
2.       การรวมข่าวกรอง
3.       การกำหนดทางเลือก  ทุกรัฐได้มีการจัดทำทางเลือกต่างๆเสนอต่อผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ
4.       การวางแผนและการจัดทำโครงการ
5.       การตัดสินใจ
6.       การดำเนินนโยบาย
7.       การประเมินนโยบายและการเปลี่ยนแปลงนโยบาย

เครื่องมือในการดำเนินการระหว่างประเทศนั้นๆ
1.       การทูต
2.       การข่มขู่
3.       การปิดบังอำพรางหรือตบตา




การฑูตไทย
ประวัติศาสตร์การทูตของไทย
ก่อนสมัยสุโขทัยคนไทยในแถบนี้ได้รวมตัวกันเป็นชุมชนแล้วแต่แยกกันอยู่ในแต่ละภูมิภาค เช่น อาณาจักรศรีวิชัย ตามพรลิงค์ หริภุญชัย ศรีโคตรบูรณ์ ฯลฯ ไม่ได้รวมกันเป็นอาณาจักรเดียว (คนไทยมีหลายเผ่าอาศัยอยู่กระจัดกระจายในดินแดนสุวรรณภูมิมานานแล้ว ส่วนใหญ่ปลูกบ้านเรือนอยู่ใกล้แม่น้ำ กินข้าวกับปลา จะทำบุญอะไรมักแห่กล้วยแห่อ้อยซึ่งเป็นส่วนผสมสำคัญในการประกอบอาหาร ปลูกบ้านเป็นเรือนใหญ่ใต้ถุนสูงป้องกันน้ำท่วม หลังคาสูงเพื่อระบายความร้อน แต่คนไทยปัจจุบันเอาค่านิยมฝรั่งมาในการปลูกบ้านชั้นเดียวติดดินเพื่อให้ได้ความอบอุ่น ขุนนางนิยมสร้างปราสาทบนเนินเขาไม่นิยมอยู่ใกล้แม่น้ำที่อากาศเย็นและน้ำจะท่วม)
การที่คนไทยอยู่กระจัดกระจายชี้ให้เห็นว่าการติดต่อกับต่างประเทศนั้นมีมานานแล้ว ถึง
สมัยสุโขทัยถือเป็นอาณาจักรที่มีการรวบรวมผู้คนไว้เป็นปึกแผ่นปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจเด็ดขาดมีเพียงคนเดียวคือหัวหน้าผู้ปกครองเรียกว่า พ่อขุนพ่อขุนรามคำแหงมหาราชถือเป็นกษัตริย์ผู้เชี่ยวชาญทางการทูตทรงเป็นทั้งนักการทูตและนักการค้าโดยใช้เศรษฐกิจการค้านำหน้า สุโขทัยรับเทคโนโลยีการทำเครื่องปั้นดินเผามาจากจีนจนกลายเป็น Production Houseในการผลิตถ้วยชามสังคโลกส่งไปขายญี่ปุ่นจนญี่ปุ่นยึดเป็นต้นแบบ ส่วนฝรั่งเรียกว่าเครื่องปั้นดินเผามะตะบันเพราะต้องส่งไปลงเรือที่อ่าวเมาะตะมะ (ตอนนั้นอาณาจักรมอญมีสัมพันธไมตรีที่ดีกับสุโขทัย)
สมัยกรุงศรีอยุธยามีการจัดตั้งหน่วยงานที่ทำหน้าที่รองรับการติดต่อกับต่างประเทศเปรียบเสมือนทนายหน้าหอเรียกว่ากรมพระคลัง (การติดต่อแต่ละครั้งได้เงินเข้าคลัง) จนเมื่อการค้ารุ่งเรืองมากกรมพระคลังรับไม่ไหวต้องแบ่งงานออกเป็นกรมท่า (Port of Authority) กรมท่าซ้ายติดต่อกับตะวันออก กรมท่าขวาติดต่อกับตะวันตก แผนการติดต่อกับต่างประเทศอยู่ในมือพระมหากษัตริย์ ผู้ปฏิบัติในระดับสูงต้อง Outsourcing เอาคนต่างด้าวเข้ามาทำ เช่น เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ (ชาวกรีก) ออกญาเสนาภิมุข (ยามาดะชาวญี่ปุ่น) กิจกรรมที่ต้องติดต่อกับต่างประเทศในยามสงบที่เด่นชัดที่สุดคือการค้าขาย ต่างชาติที่เข้ามาติดต่อกรุงศรีอยุธยาเป็นชาติแรกคือโปรตุเกส ชาวโปรตุเกสได้รับพระราชทานที่ดินให้อยู่อาศัยทำมาหากินเป็นหมู่บ้านโปรตุเกสมีหลักฐานปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้
ในสมัยอาณานิคมประเทศไทยรอดพ้นมาได้เพราะพระปรีชาสามารถด้านการต่างประเทศของพระมหากษัตริย์ไทย พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ยอมรับในพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชในขณะที่ประเทศอื่น ๆ รอบบ้านเราไม่ได้รับการยอมรับจากตะวันตกจึงถูกยึดเป็นอาณานิคมทั้งสิ้น แต่ไทยได้รับการยอมรับมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยามาแล้ว ส่วนการที่ไทยเสียกรุงครั้งที่สองให้พม่าแล้วไม่ถูกตะวันตกล่าเป็นอาณานิคม เพราะตอนนั้นฝรั่งเศสกำลังวุ่นวายอยู่กับสงครามนโปเลียน อังกฤษต้องวุ่นวายอยู่กับการคอยหย่าศึกให้ฝรั่งเศสแถมอาณานิคมของตนเองในอเมริกาก็ฮึ่ม ๆ จะประกาศเอกราช ทั้งอังกฤษกับฝรั่งเศสจึงไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรี
สมัยรัชกาลที่ 5 กรมท่าเปลี่ยนเป็นกระทรวงการต่างประเทศ มีกรมพระยาเทววงศ์วโรปการเป็นบิดาแห่งการทูตไทย แต่เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศคนแรกคือเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ช่วง บุนนาค สืบเชื้อสายมาจากจุฬาราชมนตรีผู้มีเชื้อสายเปอร์เซีย)
สรุป ในสมัยสุโขทัยและอยุธยานโยบายต่างประเทศไทยให้ความสำคัญกับการค้าต่างประเทศเป็นหลักโดยเฉพาะประเทศที่ห่างไกล ส่วนประเทศใกล้ ๆ ไม่ค่อยให้ความสำคัญมากนักเพราะมีสินค้าเหมือน ๆ กัน สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นไทยต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดมากกว่าจะแสวงหาความมั่งคั่ง สมัยล่าอาณานิคมและสงครามโลกทั้งสองครั้งไทยต้องใช้การทูตเพื่อสร้างความอยู่รอดมากกว่าความมั่งคั่งเช่นกัน เช่น รัชกาลที่ 5  ต้องประพาสยุโรป